กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process) เป็นกลไกที่สำคัญในการจัดการความรู้ขององค์กรให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ เป็นวิธีการหรือขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรมการจัดการความรู้ตามที่กำหนดไว้ พรรณี สวนเพลง (2552 : 43-44) ได้สรุปกระบวนการจัดการความรู้ตามแนวคิดของนักวิชาการชาวต่างประเทศที่สำคัญไว้ ดังนี้
โฮลแซปเปิลและวินสโตน (Holsapple & Whinston, 1987)
- การจัดหา
- การจัดระบบ
- การเก็บ
- การรักษา
- การวิเคราะห์
- การจัดระบบ
- การประยุกต์
- การสร้าง (Creation)
- การแสดงอย่างเปิดเผย (Manifestation)
- การใช้ (Use)
- การถ่ายโอน (Transfer)
- การทำความเข้าใจกับความรู้ (Sense Making) (รวมถึงการตีความหมายความรู้)
- การสร้างความรู้ (รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงความรู้)
- การตัดสินใจ (รวมถึงการประมวลสารสนเทศ)
- แบ่งปัน
- การสร้าง
- การกำหนด
- การรวบรวม
- การเปลี่ยนแปลง
- การจัดระบบ
- การประยุกต์
โนนากะ (Nonaka, 1996)
- ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (เปลี่ยนความรู้แบบไม่ชัดแจ้งเป็นความรู้แบบไม่ชัดแจ้ง)
- การปรับเปลี่ยนสู่ภายใน (เปลี่ยนความรู้แบบชัดแจ้งเป็นความรู้แบบไม่ชัดแจ้ง)
- การผสมผสาน (เปลี่ยนความรู้แบบชัดแจ้งเป็นความรู้แบบชัดแจ้ง)
- การปรับเปลี่ยนสู่ภายนอก (เปลี่ยนความรู้แบบไม่ชัดแจ้งเป็นความรู้แบบชัดแจ้ง)
- การริเริ่ม (ตระหนักถึงความต้องการในความรู้ และตอบสนองต่อความต้องการนั้น)
- การนำไปปฏิบัติ (การถ่ายโอนความรู้)
- การใช้ความรู้ที่ได้รับการถ่ายโอน
- การบูรณาการความรู้ (การนำความรู้มาสู่ภายในองค์กร)
- การแสวงหาความรู้ (การสร้างความรู้และการพัฒนาเนื้อหา)
- การสร้างดัชนี (Indexing)
- การกลั่นกรอง (Filtering)
- การเชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดการระบบ จัดประเภท การรวมการเชื่อมโยงแหล่งความรู้ภายในและภายนอก
- การเผยแพร่ โดยการรวบรวมและจัดส่งความรู้ผ่านเว็บเพจ
- การประยุกต์การใช้ความรู้
- การพัฒนา (Develop)
- การเผยแพร่ (Disseminate)
- การผสมผสาน (Combine)
- การเก็บไว้ (Hold)
- การสร้างคลังความรู้
- การประมวลและใช้รหัสความรู้ (Capture Codify Knowledge)
- การแบ่งปันความรู้ (Share Knowledge)
- การเผยแพร่ความรู้ (Distribute Knowledge)
- การสร้างความรู้ (Create)
- การกำหนดและรวบรวมความรู้ (Capture)
- การนำไปสู่การปฏิบัติ (Refine)
- การจัดเก็บความรู้ (Store)
- การจัดการความรู้ (Manage)
- การเผยแพร่ (Disseminate)
อิคูจิโร โนนากะ และทาคูชิ (Ikujiro Nonaka & Takeuchi, 2004) ได้กล่าวว่า ความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) และความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) สามารถเปลี่ยนสถานะระหว่างกันได้ ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่อยู่เสมอ การเปลี่ยนสถานะไปมาระหว่างกันก่อให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า เกลียวความรู้ (Knowledge spiral) หรือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบเอสอีซีไอ (SECI Model Conversion Process) ดังแสดงไว้ในภาพที่ 2.10
จากภาพที่ 2.10 การเปลี่ยนสถานะของความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเกลียวความรู้ (Knowledge spiral) สามารถดำเนินการใน 4 รูปแบบ ได้แก่
- การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Socialization) คือการเปลี่ยนจากความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ไปเป็นความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เกิดได้จากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคคลกับบุคคล
- การปรับเปลี่ยนสู่ภายใน (Externalization) คือการแปลงความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ให้กลายเป็นความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) เกิดได้จากการสร้างและถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล แล้วเผยแพร่ให้เป็นลายลักษณ์อักษร
- การผสมผสาน (Combination) คือการแปลงความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) ไปสู่ความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) เกิดจากการแปลงจากสื่อความรู้ต่างๆ อย่างหลากหลาย ไปสร้างความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) ในรูปแบบใหม่ เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน
- การปรับเปลี่ยนสู่ภายนอก (Internalization) คือการแปลงความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) นำไปสู่ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เกิดจากการนำความรู้แจ้งชัด (Explicit Knowledge) ไปใช้ในการปฏิบัติงานก่อให้เกิดความรู้ใหม่ในการทำงานของแต่ละบุคคล
- การแสวงหาความรู้ (Acquisition) หมายถึง การเลือกข้อมูลและสารสนเทศจากแหล่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
- การสร้างความรู้ (Creation) หมายถึง การพัฒนาความรู้ใหม่ หรือ นวัตกรรมซึ่งเกิดขึ้นได้จากความสามารถในการมองเห็นถึงความสัมพันธ์ใหม่ โดยมีการเชื่อมโยงกับองค์ประกอบต่างๆ ของความรู้ และผสมผสานกันอย่างมีเหตุมีผล
- การจัดเก็บความรู้ (Storage) หมายถึง การจัดระบบข้อมูล และการนำไปจัดเก็บไว้สร้างคุณค่าของความรู้ให้ง่ายต่อการเข้าถึงของบุคลากรที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่
- การวิเคราะห์และการทำเหมืองข้อมูล (Analysis and Data Mining) หมายถึงเทคนิคในการวิเคราะห์ข้อมูล การปรับโครงสร้างและการตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลต่างๆ โดยการทำเหมืองข้อมูลสามารถทำให้เกิดความเข้าใจความหมายของข้อมูล โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ การจัดกลุ่ม การสรุปหาใจความสำคัญ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
- การถ่ายโอนและการเผยแพร่ความรู้ (Transfer and Dissemination) หมายถึง เทคนิค วิธีการ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และภายในบุคคลที่มีการเคลื่อนย้ายข้อมูลสารสนเทศ และความรู้ ทั้งมีเป้าหมายและไม่มีเป้าหมายทั้งหมดในองค์กร
- การประยุกต์ใช้และการทำข้อมูลให้ถูกต้อง (Application and Validation) หมายถึง การใช้และการประเมินผลความรู้โดยบุคลากรในองค์กร โดยความสำเร็จ สามารถพิจารณาได้จากความต่อเนื่องหมุนเวียนและการใช้ความรู้อย่างสร้างสรรค์สำหรับความรู้และประสบการณ์ที่มากมายขององค์กร
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ (2548 : 71-78) ได้แบ่งขั้นตอนกระบวนการจัดการความรู้ออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่
- การสร้างความรู้ (Knowledge Creation หรือ Knowledge Generation) เป็นกิจกรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาความรู้หรือสร้างความรู้ใหม่ขึ้น
- การประมวลความรู้ (Knowledge Codification) คือการจัดความรู้ให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ และนำไปประยุกต์ใช้ได้สะดวกโดยมีหลักในการประมวลความรู้ที่สำคัญ 3 ประการ คือ กำหนดขอบเขตและเนื้อหาของความรู้ที่ต้องการประมวล กำหนดที่มาของแหล่งความรู้ และระบุวิธีการ เครื่องมือในการเข้าถึง และดึงความรู้ที่ได้ประมวล
- การเผยแพร่ความรู้ (Knowledge Distribution) องค์กรจะต้องทำหน้าที่การประสานงานให้มีการเผยแพร่หรือแบ่งปันความรู้ทั่วทั้งองค์กร และภายนอกองค์กร โดยทำหน้าที่ จัดการและประสานงานระหว่างผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการจัดการความรู้ ทำหน้าที่เชื่อมโยงงานของผู้ปฏิบัติงานด้านความรู้กับงานทุกระดับ และทำหน้าที่เชื่อมโยงองค์กรกับองค์กรภายนอก
- การใช้ความรู้ (Knowledge Utillization) องค์ควรสนับสนุนให้มีการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความสามารถและนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผล
- การบ่งชี้ความรู้ เช่น พิจารณาว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย คืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องรู้อะไร , ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง, อยู่ในรูปแบบใด, อยู่ที่ใคร
- การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่น การสร้างความรู้ใหม่, แสวงหาความรู้จากภายนอก, รักษาความรู้เก่า, กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
- การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้ อย่างเป็นระบบในอนาคต
- การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน, ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
- การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้นั้นเข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, เว็บบอร์ด ,บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
- การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็นความรู้แจ้งชัด ( Explicit Knowledge) อาจจัดทำเป็น เอกสาร, ฐานความรู้, เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ กรณีเป็น Tacit Knowledge อาจจัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน, กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม, ชุมชนแห่งการเรียนรู้, ระบบพี่เลี้ยง, การสับเปลี่ยนงาน, การยืมตัว, เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
- การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น เกิดระบบการเรียนรู้จาก สร้างองค์ความรู้ > นำความรู้ไปใช้ > เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง
- การแสวงความรู้ (Knowledge Acquisition) องค์กรควรแสวงหาความรู้ที่มีประโยชน์และมีผลต่อการดำเนินงานจากแหล่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
- การสร้างความรู้ (Knowledge Creation) การสร้างความรู้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ (Generative) ซึ่งการสร้างความรู้ขึ้นใหม่เกี่ยวข้องกับแรงผลักดัน การหยั่งรู้ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล การสร้างความรู้ใหม่ควรอยู่ภายใต้หน่วยงานหรือคนในองค์กร ทุกคนต้องสามารถเป็นผู้สร้างความรู้ได้
- การจัดเก็บและค้นคืนความรู้ (Knowledge Storage and Retrieval) องค์กรจะต้องเก็บสิ่งสำคัญที่จะเก็บไว้เป็นองค์ความรู้ วิธีการในการเก็บรักษา และการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามต้องการ
- การถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ (Knowledge Transfer and Utilization) ซึ่งเป็นความจำเป็นขององค์กรเนื่องจากองค์กรจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นเมื่อมีการกระจายและถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็วและเหมาะสมทั่วทั้งองค์กร
- การกำหนดประเภทความรู้ที่ต้องการ (Define)
- การสร้าง/ค้นหาความรู้ที่ต้องการ (Create)
- การเสาะหา/จัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ (Capture)
- การแบ่งปัน แลกเปลี่ยน เผยแพร่ กระจาย ถ่ายโอนความรู้ (Share)
- การใช้ความรู้เป็นฐานในการทำงาน (Use)
กานสุดา มาฆะศิรานนท์ (2546) ได้ศึกษาเรื่อง “การนำเสนอระบบการจัดการความรู้สำหรับองค์กรภาคเอกชน” โดยผลการวิจัยเกี่ยวกับขั้นตอนกระบวนการการจัดการความรู้ขององค์กรภาคเอกชน พบว่ามี 5 ตอน ได้แก่
ขั้นที่ 1 การกำหนดสิ่งที่ต้องเรียนรู้ มี 5 ขั้นตอนย่อย คือ กำหนดนโยบายในสิ่งที่องค์กรต้องเรียนรู้ ประกาศนโยบายและประชาสัมพันธ์ หาความต้องการในเรื่องที่จะเรียนรู้ของพนักงาน ทีมผู้ชำนาญการและนักวิเคราะห์ความรู้พิจารณาความเหมาะสม ประกาศประชาสัมพันธ์ความรู้ที่ต้องเรียนรู้
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ มี 7 ขั้นตอนย่อย คือ กำหนดนโยบายในการแสวงหาความรู้ ประกาศนโยบาย กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ เตรียมทีมผู้ชำนาญการและบุคลากร เตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศ/สื่อโสตทัศน์ ประเมินความรู้ และแสวงหาความรู้จากช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างความรู้
ขั้นที่ 3 การสร้างความรู้ มี 7 ขั้นตอนย่อย คือ กำหนดนโยบายในการสร้างความรู้และนวัตกรรม ประกาศนโยบายและประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานใหม่ รวบรวมความรู้จากแหล่งต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร วิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เดิมเข้ากับความรู้ใหม่ ทดลองใช้ความรู้ที่องค์กรสร้างขึ้น และประกาศองค์ความรู้และนวัตกรรม
ขั้นที่ 4 การจัดเก็บและสืบค้นความรู้ มี 9 ขั้นตอนย่อย คือ กำหนดนโยบายในการจัดเก็บและสืบค้นความรู้ในองค์กร ประกาศนโยบายและประชาสัมพันธ์ กำหนดองค์ความรู้ที่จะนำมาจัดเก็บ ทีมผู้ชำนาญการและนักวิเคราะห์ความรู้ประเมินความรู้เดิมที่องค์กรมีอยู่ บูรณาการความรู้เดิมเข้ากับความรู้ใหม่ ทีมผู้ชำนาญการและนักวิเคราะห์ความรู้กลั่นกรอง ตรวจสอบ คัดเลือกความรู้ เตรียมบุคลากร และเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดเก็บความรู้และปรับปรุงให้ทันสมัย และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่
ขั้นที่ 5 การถ่ายโอนและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ มี 8 ขั้นตอนย่อย คือ กำหนดนโยบาย ประกาศนโยบายและประชาสัมพันธ์ เตรียมทีมผู้ชำนาญการและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อโสตทัศน์ เลือกวิธีการที่จะถ่ายโอนความรู้ เปิดโอกาสให้พนักงานมีการถ่ายโอนและนำความรู้ไปใช้ ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานตามวาระ และเปิดโอกาสให้พนักงานถ่ายโอนและนำความรู้ไปใช้เพื่อประโยชน์ขององค์กร
จากการศึกษากระบวนการจัดการความรู้ของนักวิชาการต่างประเทศและนักวิชาการไทยแล้ว สรุปได้ว่า กระบวนการการจัดการความรู้นั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกควรเริ่มต้นจากการกำหนดความรู้ที่องค์กรต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และความรู้ที่กำหนดนั้นต้องมีความชัดเจนไม่คลุมเครือ ต่อจากนั้น จึงทำการค้นหาความรู้เหล่านั้นที่มีอยู่ภายในองค์กรทั้งจากบุคคล หรือกลุ่มให้พบ ขณะเดียวกันก็ต้องแสวงหาความรู้นั้นๆ เพิ่มเติมด้วย โดยอาจใช้การสร้างขึ้นเอง หรือนำมาจากแหล่งภายนอกองค์กรก็ได้ หลังจากได้ความรู้ที่ต้องการแล้วต้องทำการจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบต่างๆ มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บให้มีความง่ายต่อการค้นหามาใช้ และง่ายต่อการถ่ายทอดลงไปยังบุคลากรในองค์กร หลังจากนั้นเป็นขั้นการนำความรู้ถ่ายทอดไปยังบุคลากรในองค์กรที่ต้องการใช้ความรู้นั้นในการทำงานให้ดีขึ้น และเมื่อนำความรู้ไปปฏิบัติงานแล้ว ก็จะถึงขั้นก่อให้เกิดความรู้ใหม่ องค์กรก็ต้องดำเนินการวิเคราะห์และกลั่นกรองความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นว่ามีประโยชน์หรือไม่ หากมีก็ดำเนินการจัดเก็บในระบบเป็นองค์ความรู้ขององค์กรต่อไป กระบวนการจัดการความรู้นี้
แต่ละขั้นตอนจะวนต่อเนื่องกันไปไม่มีวันจบสิ้นตราบใดที่องค์กรยังมีการจัดการความรู้อยู่
***************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น