แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยและสังคมไทย สาระสำคัญที่เกี่ยวกับ “การเรียนรู้” สรุปได้ว่า คนไทยต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องการศึกษา ทักษะการทำงาน และการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญในการดำรงชีวิตและปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 โดยมีแนวทางพัฒนาด้านการเรียนรู้ที่สำคัญ อาทิ การส่งเสริมให้มีระบบการจัดการความรู้ในเรื่องครอบครัวศึกษา อาหารศึกษา พฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธ์ สุขภาพทางเพศที่เหมาะสมปลอดภัย มีการเรียนรู้สู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มีการสั่งสมทุนทางปัญญา เชื่อมโยงการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการประกอบสัมมาชีพ และเพื่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย พัฒนากำลังแรงงานให้มีความรู้และสมรรถนะที่สอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตและบริการบนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างโอกาสการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้คนทุกกลุ่มทุกวัยเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และองค์ความรู้ที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและองค์ความรู้ใหม่ สร้างกระแสสังคมให้การเรียนรู้เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน มีนิสัยใฝ่รู้ รักการอ่าน ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของคนต่างวัย ควบคู่กับการส่งเสริมให้องค์กร กลุ่มบุคคล ชุมชน ประชาชน และสื่อทุกประเภทเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งสนับสนุนการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และปัจจัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาและเปิดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งเรียนรู้ทั่วไป อาทิ สถานศึกษา ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์กีฬาและนันทนาการ เปิดพื้นที่/เวทีสาธารณะให้เป็นศูนย์รวมแลกเปลี่ยนให้กับนักคิด และนำเสนอผลงานเชิงสร้างสรรค์ มีการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นและความรู้สมัยใหม่ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ พัฒนาองค์ความรู้ของท้องถิ่นทั้งจากผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน จัดให้มีการวิจัยเชิงประจักษ์ของชุมชน การจัดการองค์ความรู้ในชุมชนอย่างเป็นระบบ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านภาษาและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ตลอดจนเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ด้านการใช้ฐานความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย ระบุว่าการพัฒนาประเทศให้อยู่บนฐานความรู้และและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ในการปรับเปลี่ยนการผลิตจากการใช้ทรัพยากร เงินทุน และแรงงานที่มีผลิตภาพต่ำ ไปสู่การใช้ความรู้และความชำนาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้เป็นพลังขับเคลื่อนและภูมิคุ้มกันประเทศไทยในกระแสโลกาภิวัตน์
ในด้านการพัฒนาบทบาทสถาบันทางสังคมให้เอื้อต่อการพัฒนาคน กำหนดให้มีการสร้างเสริมความเข็มแข็งของเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นพลังสำคัญที่มีบทบาทต่อการสะท้อนความต้องการของประชาชน รวมทั้งให้ข้อคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยจัดพื้นที่ออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ตามความสนใจ วิเคราะห์แนวทางการใช้ประโยชน์ในการใช้สื่อออนไลน์และมีการจัดระบบระเบียบการบริหารจัดการอย่างเข้มงวด
จากที่กล่าวมาเห็นได้ว่า ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) เน้นความสำคัญเรื่อง การจัดการความรู้ (Knowledge Management) นั่นเองตามที่ วิจารณ์ พานิช (2551 :3) กล่าวไว้ว่า การจัดการความรู้ คือ เครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆ กัน คือ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรแห่งเรียนรู้ และ 4) บรรลุความเป็นชุมชน หมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน
เรื่องการจัดการความรู้นี้ ระบบราชการของไทยเริ่มทำมาตั้งแต่ครั้งมีการปฏิรูประบบราชการเมื่อปี พ.ศ. 2545 มีการจัดทำคู่มือการจัดทำแผนการจัดความรู้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (2548 : 5-6) เพื่อให้หน่วยราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Action Plan) เพื่อนำไปสู่สัมฤทธิผลในการดำเนินงานของหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในคู่มือดังกล่าว ได้ระบุถึง กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process) ว่าเป็นกระบวนการแบบหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงขั้นตอนที่ทำให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ หรือพัฒนาการของความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การบ่งชี้ความรู้ 2) การสร้างและแสวงหาความรู้ 3) การจัดความรู้ให้เป็นระบบ 4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5) การเข้าถึงความรู้ 6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ 7) การเรียนรู้ โดยในขั้นที่ 6 และ 7 ได้กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เป็นสำคัญ
ในส่วนของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย (พ.ศ.2552-2556) ในยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร และบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทัน ได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการสนับสนุนการพัฒนาสู่เศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้และนวัตกรรมอย่างยั่งยืนและมั่นคง โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชมและปัจเจกบุคคล ให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศในกิจการของครัวเรือนและชุมชน รวมถึงในการแสวงหาความรู้ สร้างภูมิปัญญา จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ แหล่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารของชุมชน โดยพัฒนาจากศูนย์ หน่วยงาน หรือสถานที่ ที่มีอยู่ เช่น ห้องสมุดสาธารณะ วัด ศูนย์สารสนเทศชุมชน โดยมีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย และมีบริการให้การฝึกอบรมแก่ผู้ใช้บริการตามความเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาเว็บท่า (Portal) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งความรู้/ข้อมูล ที่จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพและการดำรงชีวิตประจำวันแก่ประชาชน โดยส่วนหนึ่งจะเป็นข้อมูลกลางที่ใช้ได้กับทุกแห่ง ทุกพื้นที่ และส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลท้องถิ่น ส่งเสริมการพัฒนาเนื้อหา (Content) ฐานข้อมูล โปรแกรมประยุกต์ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพและการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ฐานข้อมูลด้านการเกษตร ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ฯลฯ ที่ใช้งานง่าย สืบค้นง่าย ใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่
จากที่กล่าวมา ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ในกระบวนการจัดการความรู้ในระบบราชการของไทย และในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย (พ.ศ.2552-2556) ล้วนกล่าวไว้สอดคล้องกันในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่เหมาะสมและทันสมัย มาช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้ให้แก่ประชาชนและสังคม ซึ่งสอดคล้องกับ วิจารณ์ พานิช (2551 : 54-69) ที่กล่าวว่า ระบบการจัดการความรู้จะประกอบด้วย 1) ระบบการฝึกอบรม 2) ระบบแทรกซึมหรือบูรณาการอยู่กับงานประจำ 3) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4) ระบบฐานข้อมูลความรู้ 5) ระบบการจัดกิจกรรมพิเศษ 6) ระบบการเชื่อมโยงกับกิจกรรมจัดการความรู้ภายนอกองค์กร 7) ระบบรางวัล แรงจูงใจ และสิ่งตอบแทน 8) ระบบการประเมินการดำเนินการจัดการความรู้ และ 9) การจัดระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อจัดการความรู้ โดยในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้น จะต้องมีการออกแบบให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และใช้งานง่าย (user friendly) ให้พนักงานทุกคนมีพื้นที่ของตนเองบนพื้นที่ทางอิเลคทรอนิกส์ (electronic space) สามารถนำเสนอความรู้ของตนที่สร้างขึ้น มีพื้นที่สำหรับการแบ่งปัน (Share space) สำหรับแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บ “ขุมความรู้” (Knowledge Assets) พนักงานต้องสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง หลักการที่สำคัญคือ ให้เทคโนโลยีรับใช้คน รับใช้พฤติกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคน
ส่วนในรูปแบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management Model) ของสถาบันส่งเสริมการจัดความรู้เพื่อสังคม (สคส.) (ประพนธ์ ผาสุขยืด, 2550 : 46-52) แสดงให้เห็นว่าการจัดการความรู้นั้นเกี่ยวข้องกับมิติทั้งสาม คือ มิติแรกเกี่ยวข้องกับงาน มิติที่สองเกี่ยวข้องกับความรู้ และมิติที่สามเกี่ยวข้องกับคนและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งมิติที่สามนี้แยกเป็น็น้ประเด็นหลักได้เป็น 4 ประเด็นคือ 1) เรื่องเวลา 2) เรื่องใจ 3) เรื่องพื้นที่หรือเวที 4) เรื่องเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร (Information and Communications Technology : ICT) ซึ่งเรื่องเทคโนโลยีนี้จะเป็นเวทีอีกลักษณะหนึ่งในรูปแบบพื้นที่เสมือน (Virtual Space) เป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นมาบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นเครื่องมือจัดการความรู้ที่ค่อนข้างทรงพลัง เนื่องจากมีศักยภาพที่จะขยายเครือข่ายได้อย่างกว้างขวาง สะดวกและรวดเร็ว เรียกว่าเป็นการสร้างชุมชนแบบออนไลน์ (On-line)
ในการจัดการความรู้ โดยใช้ปลาทูโมเดล ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ส่วนหัวปลา หมายถึง ส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ 2) ส่วนกลางลำตัว หมายถึง ส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน 3) ส่วนที่เป็นหางปลา หมายถึง ส่วนที่เป็นคลังความรู้ ซึ่งในส่วนที่ 3 นี้ เป็นส่วนที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บ ให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการเรียกใช้ และปรับแต่งความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ (บูรชัย ศิริมหาสาคร, 2550 : 13-15)
ประพนธ์ ผาสุขยืด (2550 : 25) ยังได้กล่าวถึงส่วนหางปลาเพิ่มเติมไว้อีกว่า เป็นส่วนที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร เข้ามามีส่วนช่วยได้ค่อนข้างมาก หากปราศจากการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร ที่เหมาะสมแล้ว คลังความรู้ที่สร้างขึ้นมาคงจะลดคุณค่าลงไป เทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารนอกจากจะมีบทบาทในเรื่องการจัดคลังความรู้แล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต สามารถทำหน้าที่เป็นพื้นที่เสมือน (Virtual Space) ให้ผู้คนที่อยู่ไกลกันได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (Share & Learn) ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
พรรณี สวนเพลง (2552 : 162 ) ให้ความเห็นว่า การจัดการความรู้เป็นการผสมผสานของเทคโนโลยี กับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กร เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการความรู้ ได้แก่ เทคโนโลยีเวิร์กโฟลว์ (Workflow) โปรแกรมการจัดกระบวนการ (Process Management) และโปรแกรมระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management Systems : KMS)
สมชาย นำประเสริฐชัย (2550: 5) กล่าวว่า เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในเรื่องของการจัดการความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เน็ตที่เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมคนทั่วโลกเข้าด้วยกันทำให้กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge transfer) ทำได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยียังช่วยให้การนำเสนอสามารถเลือกได้หลายรูปแบบ เช่น ตัวอักษร รูปภาพ แอนนิเมชั่น เสียง วิดีโอ ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้ทำได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยียังสามารถช่วยในการจัดเก็บและดูแลปรับปรุงความรู้และสารสนเทศต่างๆ (knowledge storage and maintenance) เทคโนโลยียังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในกระบวนการจัดการความรู้ด้วย
จากความเห็นของนักวิชาการหลายท่าน แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นั้น เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสนับสนุนการจัดการความรู้ขององค์กรให้ประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพ ดังที่ ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล (2549 : 347) ได้กล่าวถึงตัวอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศสารสนเทศที่ถูกนำมาใช้กับการจัดการความรู้ ได้แก่ ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Document and Content Management Systems), ระบบสืบค้นข้อมูลข่าวสาร (Search Engines),ระบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning),ระบบประชุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Meeting System and VDO Conference),การเผยแพร่สื่อผ่านระบบเครือข่าย (e-Broadcasting),การระดมความคิดเห็นผ่านระบบเครือข่าย (Web Board หรือ e-Discussion),ซอฟต์แวร์สนับสนุนการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Groupware),บล็อก (Blog หรือ Weblog) เป็นต้น
จากผลศึกษากล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศนับว่ามีความสำคัญในการจัดการความรู้ในสมัยปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเว็บไซต์ ทำให้ความรู้สามารถทำการบันทึกหรือสร้างได้หลากหลายรูปแบบ สร้างได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยสื่ออักษร เสียง ภาพ วิดีโอ และสื่อมัลติมีเดียต่างๆ การนำเสนอมีความน่าสนใจ ทำให้สามารถเข้าใจความรู้ได้ง่ายขึ้น และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารด้วยอินเตอร์เน็ต ทำให้ความรู้สามารถแบ่งปันเชื่อมโยงถึงกันได้รวดเร็ว เกือบเท่าเวลาจริง เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนกระบวนการจัดการความรู้ได้เกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การค้นหาความรู้ การแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ การบันทึกความรู้ การจัดเก็บความรู้ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ การแบ่งปันความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนกระทั่งเกิดความรู้ใหม่ หลายองค์กรในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความรู้ขององค์กร
ตัวอย่างเครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการจัดการความรู้ ให้เหมาะสมกับขั้นตอนกระบวนการความรู้ (Knowledge Process) 7 ขั้นตอน (บุญดี บุญญากิจและคณะ, 2548 : 156 อ้างถึงใน บูรชัย ศิริมหาสาคร และพัดชา กวางทอง, 2552 : 177-178) ได้จำแนกไว้ตามตารางที่ 2.2 ดังนี้
ตารางที่ 2.2 ตัวอย่างเครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการจัดการความรู้
ขั้นตอนในกระบวนการจัดการความรู้
|
ประเภทของเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
การใช้งานเครื่องมือ
|
1.
การค้นหาความรู้
2.
การสร้างและแสวงหาความรู้
|
·
Idea generating tools
·
Data mining tools ,OLAP tools
·
Conceptual mapping tools
·
Intelligent agents
|
·
เพื่อช่วยสร้างความคิดใหม่ๆ
·
เพื่อช่วยสกัดเอาความคิดใหม่ๆ
แนวโน้มต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมของลูกค้า
·
เพื่อช่วยค้นหาข้อมูลและสร้างความรู้ใหม่ๆ
ขึ้นมาจากหลักการที่เหมือนกัน
·
เพื่อช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ
|
3.
การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ
4.
การประมวลและกลั่นกรองความรู้
|
·
Document management systems
·
Case-based reasoning
·
Visual maps
·
Metadata repositories
·
Data/Knowledge bases
·
Directories
|
·
เพื่อช่วยกลั่นกรองและจัดลำดับข้อมูล
·
เพื่อจัดข้อมูลให้เป็นระบบ
·
ช่วยแปลความรู้และประสบการณ์ต่างๆ
เพื่อนำไปจัดเก็บไว้ในฐานความรู้
|
5.
การเข้าถึงความรู้
|
·
E-mail
·
Workflow software
·
Data warehouse/Data mart
·
Intranet, web
·
Search and retrieval technologies
|
·
เพื่อใช้สื่อสารความรู้ต่างๆ
·
ทำให้ข้อมูลสามารถเข้าถึงง่าย
·
เพื่อช่วยในการตัดสินใจและการแก้ปัญหาต่างๆ
|
ตารางที่ 2.2 (ต่อ)
ขั้นตอนในกระบวนการจัดการความรู้
|
ประเภทของเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
การใช้งานเครื่องมือ
|
6.
การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้
7.
การเรียนรู้
|
·
Collaboration tools
·
Audio/Video conferencing Tools
·
Meeting support software
·
Intranet, Extranet
·
Computer aided training
|
·
ช่วยเชื่อมโยงบุคลากรภายในองค์กรที่อยู่ต่างสถานที่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
·
ส่งเสริมให้เกิดการปฏิสัมพันธ์และการทำงานที่เกื้อกูลกัน
·
สนับสนุนและอำนวยความสะดวกสำหรับการเรียนรู้
|
พรรณี สวนเพลง (2552 : 151-162) ได้สรุปถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่มาสนับสนุนกระบวนการจัดการความรู้ ในภาพรวมไว้ดังนี้
- การสร้างความรู้ (Create Knowledge) เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยสร้างความรู้ เช่น โปรแกรมแคด (Computer Aided Design : CAD) การใช้ระบบความจริงเสมือน (Virtual Reality Systems) คอมพิวเตอร์ที่ใช้วิเคราะห์การลงทุน (Investment Workstation) เหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความรู้ใหม่
- การประมวลผลความรู้ (Knowledge Processing) คือ การแปลงความรู้ให้เป็นรูปแบบที่สามารถเข้าถึงและนำไปประยุกต์ใช้ได้สะดวก จำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เป็นทั้งผู้ลงมือปฏิบัติ และเป็นผู้ประสานงาน หรือที่เรียกว่า แรงงานความรู้ (Knowledge Worker) ด้านการจัดการความรู้อย่างจริงจัง
- การถอดและการให้รหัสความรู้ (Knowledge Capture and Codification) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการจัดการความรู้ โดยสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มาสนับสนุน เช่น ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Systems : AIS) ซึ่งเป็นสาขาของวิชาคอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบการเรียนรู้ และการตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems : ES ) เป็นโปรแกรมที่นำฐานความรู้ (Knowledge Base) ซึ่งประกอบด้วยกฎเกณฑ์ของความรู้ที่เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และโปรแกรมจะทำงาน เมื่อมีการป้อนข้อมูลโดยผู้ใช้ลักษณะการถามตอบ และประมวลคำตอบจากที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป เพื่อหาข้อสรุป หรือคำแนะนำที่ต้องการ
- การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) ระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการแบ่งปันความรู้ เช่น กรุ๊ปแวร์ (Groupware) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ในการสนับสนุนกิจกรรมความร่วมมือของกลุ่มคน ประกอบด้วยซอฟต์แวร์ที่ช่วยแบ่งปันสารสนเทศ การประชุมอิเลคทรอนิกส์ การจัดตารางเวลา และการส่งอีเมล เป็นเครือข่ายที่กลุ่มคนทำงานในสถานที่ต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ หรือการใช้อินทราเน็ต เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายของคนและหน่วยงานภายในองค์กร
นอกจากนั้นยังกล่าวต่อว่า การจัดการความรู้เป็นการผสมผสานของเทคโนโลยี กับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กร เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการความรู้ ได้แก่ เทคโนโลยีเวิร์กโฟลว์ (Workflow),โปรแกรมการจัดการกระบวนการ (Process Management) และโปรแกรมระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management Systems : KMS) ส่วนการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กร เช่น การเปลี่ยนกระบวนการคิดให้เป็นระบบ การคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีพ โดยการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรอัจฉริยะ (Intelligence Organization) หรือ องค์กรการเรียนรู้
ในส่วนโปรแกรมระบบการจัดการความรู้ ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ (พรรณี สวนเพลง, 2552 : 163-167) ได้แก่
- บริการโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Services) หมายถึงเทคโนโลยีพื้นฐานที่จำเป็นในการประยุกต์กับการจัดการความรู้ มี 2 ประเภท คือเทคโนโลยีจัดเก็บ และเทคโนโลยีสำหรับการสื่อสาร ซึ่งแต่ละส่วนแยกได้ดังนี้
- เทคโนโลยีที่สนับสุนนการจัดเก็บความรู้ (Storage of Technology) หรือเรียกว่า คลังความรู้ (Knowledge Repository) เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บตัวเนื้อหาความรู้ (Content) และโครงสร้าง (Structure) ประเภทของเทคโนโลยีจัดเก็บความรู้ แบ่งออกเป็น 1) คลังข้อมูล (Data Warehouse) และ 2) แม่ข่ายความรู้ (Knowledge Server)
- เทคโนโลยีที่สนับสนุนการสื่อสาร (Technology for Communication) มี 3 ประเภท ได้แก่ 1) เทคโนโลยีในการสื่อสารระหว่างพนักงาน 2) เทคโนโลยีที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างพนักงาน 3) เทคโนโลยีการจัดการการทำงานของบุคลากร (Workforce Management)
- บริการความรู้ (Knowledge Service) หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการให้บริการความรู้ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการจัดการความรู้ มี 3 ด้าน ได้แก่ 1) การสร้างความรู้ (Knowledge Creation) 2) การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) และ 3) การใช้ความรู้ซ้ำ (Knowledge Reuse)
- บริการประสานผู้ใช้กับแหล่งความรู้หรือแหล่งสารสนเทศ (Presentation Services) สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ แต่ทว่าปัญหาของจำนวนสารสนเทศที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันจนเกิดการล้นทะลัก และกระจัดกระจายอยู่ในหลากหลายแหล่ง ทำให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการตัดสินใจที่ลดต่ำลงด้วย เนื่องจากผู้ใช้มักจะไม่ใช้ความพยายามในการแสวงหาสารสนเทศที่ต้องใช้เวลามากเกินความจำเป็น สิ่งนี้ทำให้เกิดความจำเป็นในการพัฒนาบริการประสานผู้ใช้ กับแหล่งความรู้หรือแหล่งสารสนเทศ โดยมีการประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับแหล่งความรู้/สารสนเทศ ซึ่งมี 2 ประเภท คือ บริการที่แสดงความเป็นส่วนบุคคลของผู้ใช้แต่ละคน (Personalization) และระบบที่ช่วยการมองเห็น (Visualization)
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระบบการจัดการความรู้ ต้องออกแบบให้ตอบสนองต่อความต้องการผู้ใช้และใช้งานง่าย ซึ่ง พรรณี สวนเพลง (2552 : 172-173) ได้กล่าวถึงเรื่องการออกแบบ ไว้ดังนี้
- ให้พนักงานทุกคนสามารถขอมีพื้นที่ของตนเองบนเว็บไซต์ขององค์กร
- มีการแลกเปลี่ยนความรู้บนเว็บไซต์
- มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บขุมความรู้ (Knowledge Asset)
- ให้พนักงานสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
- ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความคึกคักในการแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้
****************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น